เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ก.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะว่าเราเห็นเป็นความสำคัญทางพุทธศาสนา ในศาสนาสอนเรื่องทาน ศีล ภาวนา เรามาเสียสละของเราเพื่อผลประโยชน์ของเรา เห็นไหม ศาสนานี้เป็นศาสนา เวลาเราบอกว่าเราเป็นชาวพุทธ ลัทธิศาสนาต่างๆ เขาก็นับถือศาสนาของเขา

เราเป็นชาวพุทธนะเรานับถือพุทธศาสนา ถ้าเรานับถือพุทธศาสนา เราจะเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนวางรากฐานไว้เอง เวลาสอนพระ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นี่พุทธประเพณีเขาทำกันอย่างไร? เขาดำรงชีวิตอย่างไร? เทวดามาถวายบาตร ๔ ใบ อธิษฐานให้เหลือใบเดียวแล้วออกบิณฑบาต

นี่ไงพระเราก็เหมือนกัน พระเราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง คือการเดิน เดินออกไปบิณฑบาต นี่เวลาเป็นเราเป็นบริษัท ๔ เราทำหน้าที่การงานของเรา เราจะหาบุญกุศลของเรา เช้าขึ้นมาหุงหาอาหาร เราต้องกินอยู่แล้ว เราก็ตักปากหม้อนั้นใส่บาตร เห็นไหม มันมีกิจกรรม พอใส่บาตรขึ้นไปแล้วนะ โอ้.. ทุกข์เกือบเป็นเกือบตายทั้งวันเลยนะ พอได้ใส่บาตรมันก็ปลงได้ใช่ไหม? เฮ้อ! ทีหนึ่ง นี่มันมีอุบายของมันอยู่ในนั้น ถ้าคนรู้จักธรรม แต่ถ้าคนไม่รู้จักธรรมมันก็ไม่ได้อะไรเลย

นี่พุทธศาสนา เราเป็นชาวพุทธ ถ้าเราลงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม สัปดาห์ส่งเสริมพุทธศาสนา แล้วศาสนาต้องส่งเสริมด้วยหรือ? ศาสนาส่งเสริม เห็นภัยในศาสนา เวลาไฟไหม้ เวลาพายุพัดมา วัดวาอาวาสมันก็ชำรุดเสียหาย นี่เห็นภัยในศาสนา ลัทธิต่างๆ เขาเข้ามาจาบจ้วง เขาเห็นภัยในศาสนา เราไปเห็นภัยในศาสนาที่วัตถุไง

“ศาสนวัตถุ ศาสนาพิธี ศาสนบุคคล ศาสนธรรรม”

นี่เวลาทุกข์มันเบียดเบียนหัวใจ เราไม่รู้จักภัยของศาสนา พุทธะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือหัวใจของเรา ความสุข ความทุกข์ ความบีบคั้นของกิเลส มันบีบคั้นหัวใจไม่เห็นภัย ไปเห็นภัยแต่เขาจะรุกรานศาสนา เขาจะทำลายศาสนา แต่กิเลสทำลายหัวใจมันไม่ดู เห็นไหม ถ้ามันดูหัวใจที่นี่ นี่กาลเวลามันกัดกร่อนทุกๆ อย่างนะ กัดกินทุกๆ อย่างไปหมดเลย แล้วชีวิตเรานี่วันคืนล่วงไปๆ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วเราจะมีสิ่งใดเป็นสมบัติของเราไป

ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนา เรามีสติสตัง เห็นไหม เรามีสติ เราก็ได้ทำบุญกุศลของเรานี่ไง สมบัติพัสถานเราหามาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย มันอาศัยดำรงชีวิตนะ เวลาพระบวช เห็นไหม มีจีวร มีผ้าไตร นั้นคือเครื่องนุ่งห่ม มีบาตรคืออาหาร บาตรเพราะบิณฑบาตเป็นวัตร มีธมกรกเป็นกระบอกกรองน้ำ มียารักษาโรค มีกลดที่อยู่อาศัย

ปัจจัย ๔ นี้ขาดไม่ได้ แม้แต่พระนะ พระเวลาบริขาร ๘ ก็คือปัจจัย ๔ ทีนี้ปัจจัย ๔ ใครมันจะโง่ขนาดที่ว่าไม่หาอาหารไว้ดำรงชีวิตเลย มันก็ต้องหาอาหาร หาความมั่นคงของชีวิต แต่นั้นเป็นสมบัติทางโลกนะ ใครมีอำนาจวาสนา ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ ประสบความราบรื่นดีงาม ใครทำบุญมาครึ่งๆ กลางๆ ก็ได้ครึ่งๆ กลางๆ ใครทำมาทุกข์ทนเข็ญใจ เราก็ปากกัดตีนถีบ แต่! แต่มันมีหัวใจ มันมีความรับรู้ เพราะหัวใจมันโง่ เพราะมันโง่มันถึงทำกันมาอย่างนั้น

กรรมคือการกระทำ สิ่งใดทำสิ่งที่ดีมามันถึงตอบสนอง ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ คนเราทำบุญกุศล ถึงเวลาทุกข์ยากมันจะมีคนมาช่วยแก้ไขให้วิกฤตินั้นผ่านไป ผ่านไป ผ่านไป การผ่านไป เห็นไหม ชีวิตนี้เราดำรงชีวิตไป แล้วหัวใจล่ะเวลามันวิกฤติใครช่วยมันล่ะ ใครช่วยมัน?

สติเราต้องฝึก ถ้าเราฝึกสติของเรา สติ เห็นไหม ขันติ บารมีธรรม ขันติธรรม บารมีธรรม.. ขันติคือความอดทน ถ้าเราอดทนอดกลั้น คนถ้าไม่มีความอดทนอดกลั้น เจอสิ่งใดก็ท้อแท้ อ่อนแอ มันก็ทำสิ่งใดไปไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเรามีสติของเรานะ เรามีขันติธรรมของเรา เราแก้ไขของเราไป ชีวิตนี้เป็นอย่างนี้ ทุกข์ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

เวลาทุกข์ของแต่ละคน เห็นไหม มุมมองของใคร ความเห็นของใคร จริตของใคร ความทุกข์ของใคร ถ้าเรามีสติ ครูบาอาจารย์บอกว่าให้มองเป็นเรื่องขำๆ มันเป็นเรื่องขำๆ นะ แต่ถ้าคนไปจริงจังกับมันนะทุกข์ตายเลย แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไม่ใช่เรื่องขำๆ นะ ถ้าเรื่องขำๆ เวทนาก็ขำๆ กันมาสิ ไม่ปวด ไม่ปวดนะ เวลาทุกข์ขึ้นมาก็ขำๆ กันมาสิ มันไม่ขำสิ มันปวดจริงๆ มันไม่ขำหรอก แต่เราเลือกใช้ไง

สติของเรา ปัญญาของเรา ถ้าเรายังไม่ได้เข้าไปสู่ในการภาวนา สิ่งนี้มันเป็นสิ่งกระทบจากภายนอก มันช่วยเหลือเจือจานกันได้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปหาหมอ เห็นไหม เวลาทุกข์ทนเข็ญใจนะ เขาบอกเลยขอข้าวกินสักมื้อสิไม่มีเงินกินข้าว เขาก็ให้นะ สิ่งต่างๆ มันช่วยเหลือกันได้ แต่เวลาทุกข์มันบีบคั้นในใจนะ พ่อแม่โอ๋แล้วโอ๋อีกมันก็ทุกข์ ใครโอ๋ขนาดไหนมันก็ทุกข์ สิ่งนี้เราต้องมีสติของเรา เราฝึกของเรา ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง

เราเห็นภัยในศาสนา แต่เราไม่เห็นภัยของกิเลส แล้วภัยของกิเลสนี่ของใครของมัน เห็นไหม เวลาทำสิ่งใด คนนู้นเบียดเบียนเรา คนนั้นกลั่นแกล้งเรา แต่ถ้าจิตใจของเรานะ เราแก้ไขในหัวใจของเรา ถ้าเราแก้ไขใจของเรานะ เราเห็นภัยในศาสนา

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. สมุทัย ตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่ผลักไส เห็นไหม ตัณหา วิภวตัณหา สิ่งที่ไม่พอใจ สิ่งที่ไม่ปรารถนานี่ผลักไส ยิ่งผลักไส เวลานั่งภาวนา เวลามันปวด อยากให้ปวดหาย ปวดมันทับเท่าทวีคูณยิ่งปวดใหญ่ เวลาทุกข์แล้วอยากผลักไส อยากให้มันไม่มี วิธีการแก้ไข แก้ไขกันอย่างนี้หรือ? การแก้ไขคือการปฏิเสธมันหรือ?

การแก้ไขเราต้องตั้งสติ เห็นไหม แล้วเราแก้ไข นี่ทุกข์ สมุทัย.. สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยาก พอตัณหาความทะยานอยาก ความผูกพัน ความทิฐิมานะ ความวิกฤตินั้นถ้าจิตใจมันปล่อยได้ มันปล่อยตัณหา ปล่อยสมุทัย ทุกข์ก็ดับไป ทุกข์เกิดจากสมุทัย ทุกข์เกิดจากตัณหาความทะยานอยาก อยากได้ อยากดี ผลักไสไม่ต้องการ สิ่งที่ไม่พอใจก็ผลักไสๆ ไม่ต้องการ

มันผลักไสไม่ได้หรอก มันเป็นของมันอย่างนี้ แต่ถ้าฉลาดกับมันนะ ไม่โง่กับมัน เข้าใจมันแล้วจบ เอ๊ะ.. มันอยู่ไหนไม่เห็นมีเลย เมื่อกี้นี้ทุกข์เกือบตาย พอปัญญาคลี่คลายแล้วหาทุกข์ไม่เจอ อยากจะเจ็บๆ ปวดๆ อีก หามันก็หาไม่เจอ เห็นไหม เวลามันมาทำไมมันใหญ่โตขนาดนั้นล่ะ? เวลามาเป็นภูเขาเลากา แต่เวลามันพิจารณาแล้ว มันหายไปไหนล่ะมันไม่เห็นมีเลย มันหายไปไหน มันหายไปไหน?

มันเป็นนามธรรมหมด เห็นไหม ศาสนานี้เป็นนามธรรม เราศึกษาตามพระไตรปิฎก ศึกษาตามทฤษฎี มันเป็นชื่อของมัน ชื่อของสติ ชื่อของสมาธิ ชื่อของปัญญา โอ้โฮ.. ปัญญาคนนี้ไบร์ทมากเลย แต่มันโง่กับกิเลสตัวมันเองมหาศาลเลย แต่ถ้าเราฉลาดกับกิเลสของเรา ฉลาดกับจิตใจของเรา เรารักษาของเรา

นี่ภัยในศาสนานะ ถ้าคนมันฉลาดแล้วภัยมันจะมาจากไหน? แต่คนมันบ้านร้าง บ้านเราไม่ดูแล แล้วเราบอกว่าจะปกป้องศาสนา ปกป้องศาสนา แต่ถ้าในใจของตัวมันฉลาด มันมีปัญญาของมัน มันรู้ถูกรู้ผิด ใครจะมาทำลายศาสนานั้นได้ ถ้าบุคคลในศาสนานั้นเป็นผู้ฉลาด แต่บุคคลในศาสนานั้นเป็นผู้ที่ไม่ฉลาด ข้างนอกไม่ต้องทำหรอกมันทำลายกันเอง ข้างในนี่มันทำลายกันเอง กิเลสในใจของเรามันก็ทำลายหัวใจเรา เห็นไหม

วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เราก็ดูว่าพระพุทธศาสนาอยู่ที่วัด พระพุทธศาสนาอยู่ที่พระ แต่เราไม่ว่าพุทธศาสนาอยู่ที่ใจเรา พุทโธคือธาตุรู้ ความรู้สึกนึกคิดเรานี้คือตัวศาสนา

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดทำจิตสงบ ผู้นั้นได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดมีปัญญา มีมรรคญาณขึ้นมา เราจะเห็นพระพุทธเจ้าโดยความเนื้อแท้”

ตัวศาสนาแท้ๆ คือความรู้สึกของเรานี่แหละ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราจะได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้วเราไม่เจอ เราจะรู้ เราจะเห็น เราจะได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะได้กอดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่กับเราเลย

นี่ตัวศาสนาแท้ๆ อยู่ที่นี่ ฉะนั้น เวลาปกป้องศาสนา ปกป้องใจเรา แล้วฝึกใจเราให้ฉลาดขึ้นมา แล้วเราจะรู้ จะเห็น จะเข้าใจสิ่งต่างๆ แล้วเราจะอยู่ในศาสนา เรามีศาสนาด้วยความ.. นี่เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดในธรรม

“เกิดเป็นคนนี้แสนยาก เปรียบเหมือนเต่าตาบอดอยู่กลางทะเล แล้วโผล่ขึ้นมามันมีบ่วงอยู่บ่วงหนึ่ง ถ้าโผล่ขึ้นมาเข้าบ่วงนั้นถึงได้เกิดเป็นคน”

เกิดเป็นคนนี้แสนยาก ดูสัตว์สิ สัตว์ต่างๆ มันเกิดมหาศาลเลย.. เกิดเป็นคนนี้แสนยาก เกิดเป็นคนแล้วพบพุทธศาสนายากขึ้นไปอีก! ศาสนามันมีเป็นคราวๆ มานะ นี่คนจะเสื่อมไป คนจะไม่ศรัทธาไป ศาสนาไม่มีคนรักษามันก็เจือจางไป พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ข้างหน้า แล้วคนก็จะมาดูแลอีกทอดๆ หนึ่ง

เกิดเป็นคนนี้แสนยาก พบพระพุทธศาสนายากกว่า! แล้วปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นในหัวใจของเรายิ่งยากเข้าไปใหญ่! เห็นไหม ปกป้องศาสนาที่นี่ แล้วถ้าที่นี่มันเป็นความจริงขึ้นมานะ เราจะปกป้องศาสนาได้ทุกๆ อย่างเพราะเราเข้าใจ

กาลเวลามันกัดกินทุกๆ อย่างนะ ชีวิตเรามีการพลัดพรากเป็นที่สุด อย่างไรก็แล้วแต่เราเกิดเป็นชาวพุทธแล้ว พบพุทธศาสนาแล้ว เราควรจะได้สมบัติ ได้ความจริงในหัวใจของเรา ให้ไปกับเรา ถึงจะเกิดอีกก็เกิดให้มีหลักมีเกณฑ์ เห็นไหม ถ้าจริงจังในปัจจุบันนี้ เอาให้สิ้นกิเลสได้ ถ้าสิ้นกิเลสแล้วนะ เกิดหรือไม่เกิดมันรู้ของมันนะ

เกิดตายนี่สมมุติ เกิดตายนี่ของหลอก จิตไม่หลอก จิตตัวนี้ จิตดวงนี้จะเกิดตายตลอดไป แต่เวลาเราเกิดของเรานี่เกิดจริงๆ จริงตามสมมุติ จริงตามอายุขัย แล้วพอมันไปแล้วนะเราก็นึกว่ามันจบ แต่ไอ้ที่นึกว่าจบ มันไปนี่มันไปรู้ของมันข้างหน้า มีคนถามอย่างนี้ บอกว่า “ตอนนี้ผมเป็นคนที่มีปัญญามาก มีความสนใจในศาสนามาก ตายไปแล้วเราก็ไปต่อเนื่องอีกไม่ได้หรือ?”

เวลาตายนะมันก็ไปเกิดเป็นคนใหม่ จิตเก่านี่แหละแต่เกิดเป็นคนใหม่ สถานะก็ใหม่ สังคมก็ใหม่ การศึกษาก็ไปเริ่มต้นใหม่ แล้วมันยังมั่นคงอยู่หรือเปล่าล่ะ? ถ้ามั่นคงอยู่มันก็ต่อไป เห็นไหม พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มั่นคงตลอดไป ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วไม่มีบิดพลิ้ว

แต่ของพวกเรานี่เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวก็เปลี่ยน เดี๋ยวก็แปลง พอได้สถานะใหม่มาก็ไปอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม ฉะนั้น ถึงเอาที่ปัจจุบันนี้ เข้มแข็งกันที่นี่ ตอนนี้มันมีศรัทธา มันมีความเชื่อ มันคลุกคลีกับศาสนา เอาให้จริงให้จัง ถ้าจริงจังแล้วนะไม่ต้องไปเผื่อข้างหน้า

วันนี้! เราไปคิดแต่พรุ่งนี้ แต่วันนี้ วันนี้คือชาตินี้ พรุ่งนี้คือชาติหน้า.. ภพชาติมีจริง สรรพสิ่งมีจริง การเกิด การตาย นี่เกิดตามสมมุติ เกิดตามวัฏฏะ เห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ แต่เวลาเราปฏิบัติแล้วนี่วิวัฏฏะมันพ้นออกไป มันหักออกไปจากวัฏฏะ

จิตดวงนี้มหัศจรรย์มาก ยิ่งปฏิบัติไป เห็นไป รู้ไป นี่มหัศจรรย์มาก แล้วเวลาปฏิบัติไป เวลาครูบาอาจารย์ท่านรู้เห็นของท่าน ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความซาบซึ้งๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมา แล้ววางไว้ให้พวกเราพยายาม แล้วเห็นภัย แล้วแก้ไขให้ใจของเราเป็นธรรมขึ้นมา เราจะเข้าใจ แล้วเราจะซาบซึ้งมาก เอวัง